หลวงพ่อวัดปากน้ำอธิบายเนื้อวิชาทั้งสมถะและวิปัสสนาได้แจ่มแจ้ง ท่านอื่นทำไม่ได้เพราะปฏิบัติไม่ถึง
เนื้อหาสาระของความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติทางใจ ทั้งหลักสูตรสมถะและวิปัสสนา มีอยู่ในตำราแล้ว เป็นตัวหนังสือภาษาไทยไม่มากนัก นั่นเป็นทฤษฎี นั่นยังเป็นปริยัติ ยังไม่ลงสู่การปฏิบัติ การบอกรายละเอียดแห่งวิธีการปฏิบัติไม่มี ! นี่คือทางตัน ! จะหวังพึ่งผู้เป็นเปรียญธรรมให้อธิบายชี้แจงแนวทางปฏิบัติ ท่านก็จนปัญญา เพราะท่านเรียนภาษาให้แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยเท่านั้น เนื้องหาและอรรถรสแห่งธรรมนั้น บอกไม่ได้ เพราะไม่มีรายละเอียดในบาลีอย่างนั้น นี่คือทางตันของมรรคผลนิพพาน
• แต่พวกเราดวงยังดี ที่หลวงพ่อวัด
ปากน้ำอธิบายได้หมด ตั้งแต่ความรู้ปริยัติ
ลงสู่การปฏิบัติ หลวงพ่ออธิบายได้หมดชี้แจง
ได้หมด ทำให้มรรคผลนิพพานโล่งโปร่งใสใน
ตอนนี้ •
ที่แปลกใจกันมากก็คือ หลวงพ่อเทศน์ด้วยการแปลบาลีอย่างคล่องตัว แล้วขยายความเป็นภาษาไทย จากนั้นโยงเรื่องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ปฏิบัติทั้งภาคสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป
• ในยุคนี้เอง ตำราภาคปฏิบัติของศาสนา
ได้รับการเคาะฝุ่น เอาออกมาเรียนรู้ นำสู่
ประชาชน ทำให้หมอน้ำมนต์และหมอไสยศาสตร์
เสื่อมไป เพราะไม่ใช่ความรู้ทางปฏิบัติของศาสนา
นับว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้บุกเบิกให้สมถะและ
วิปัสสนาได้รับการฟื้นสภาพให้มีการเรียนรู้กันมา
ตราบเท่าทุกวันนี้ •
สรุปให้เป็นชัดว่า การปฏิบัติหลักสูตรสมถะนั้น มีการปฏิบัติกันได้บ้าง แต่ไม่เต็มรูปแบบของหลักสูตร นี่คือประวัติการเรียนก่อนยุคหลวงพ่อ จะก่อนสักกี่ร้อยยุคก็ตาม ส่วนหลักสูตรวิปัสสนานั้น ไม่มีเกจิอาจารย์ใดทำได้เลย ! ไม่ว่าก่อนยุคของหลวงพ่อสักเท่าไรก็ตาม
• หลักสูตรสมถะก็คือเรื่องการกำหนดนิมิต
นิมิตเป็นสื่อให้เห็นธรรม เราทำได้เพียงแแค่เห็น
นิมิต แต่การจะไปเห็นธรรมนั้นไม่มีความสามารถ
จะทำได้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นอย่างนี้ แต่หลวงพ่อ
ท่านทะลุเห็นธรรมได้เลย จึงเข้าหลักสูตร
วิปัสสนาได้ ก็ต้องว่าเป็นบารมีธรรมของท่าน •
ทำไมจึงว่าหลักสูตรวิปัสสนายาก ? ตอบว่าที่ว่ายากเพราะว่าต้องถึงกายธรรม และอาศัยรู้และญาณทัสสนะของกายธรรมไปรู้เห็น จึงจะเรียนได้ เพราะเป็นเรื่องขอใจทั้งนั้น ใจหยาบคือขันธ์ ๕ ใจละเอียดมองเห็นยากแล้ว ได้แก่ใจในรูแบบของอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ซึ่งเป็นใจละเอียด ต้องอาศัยรู้ญาณทัสสนะของกายธรรมช่วย จึงจะรู้เห็นได้ พอข้าพเจ้าชี้แจงมาถึงตรงนี้ ท่านเห็นเหตุผลที่ชี้แจง เห็นความจริงที่ชี้แจงให้ทราบ ท่านหมดข้อข้องใจ ถามว่ายุคใดและอาจารย์ใดบ้างที่เห็นกายธรรม ? สืบถอยหลังไปเถิดก็จะได้คำตอบว่า ไม่มีเลย ! แต่ก็ดังกันไปตามเรื่องตามบรรยากาศจนชื่อเสียงของเกจิอาจารย์นั้นตกทอดมาถึงยุคของเรา เราหลงว่าเกจิอาจารย์ผู้นั้นเก่ง เพราะเราเชื่อตามกันมา เชื่อตกทอดกันมา ครั้งข้าพเจ้าตรวจสอบเข้า ไม่เป็นจริงตามความเชื่อที่ว่านั้น จึงขอทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียแต่วันนี้
มีหลายท่านถามข้าพเจ้า ถามว่าองค์นั้นกระดูกขาวเป็นแก้วแล้ว เป็นพระอรหันต์ไปแล้วใช่ไหม ? ข้าพเจ้าตอบว่าการไปอยู่ในอายตนะนิพพาน เราไปอยู่ด้วยกายธรรมก็เมื่อไม่เห็นกายธรรมและไม่ได้ฝึกละสังโยชน์ ๑๐ จะได้เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ? มันผิดตำรา ! ต้องกลับมาเกิดอีก ต้องมาเห็นกายธรรมให้ได้ แล้วละสังโยชน์ ตอนนั้นจึงพิจารณากันใหม่ ข้าพเจ้าตอบไปอย่างนั้น ดังนั้นในชาตินี้เราจงจ้องให้เห็นกายธรรมไว้ก่อน เรียนให้ได้ ! ฝึกให้ได้ ! เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง จึงจะถือว่าเป็นความคิดที่ฉลาด !
อ่านเพิ่มเติมใน >>> หนังสือมรรคผลพิสดาร 2 หน้า 74
